20.3.11

รกพืช (Plant Placenta).. กุญแจสู่ผิวอ่อนเยาว์

Plant Stem Cell ( เซลล์ต้นกำเนิดจากพืช ) หรือ Plant Placenta ( รกพืช )
     ปัจจุบันงานวิจัย ได้ก้าวกระโดดจากรกแกะ รกคนไปยังรกพืชกันแล้ว เนื่องจากสารสกัดจากรกคน มีความเสี่ยงในการติดเชื้อ อีกทั้งมีปัญหาทางด้านจริยธรรม จึงเป็นที่ห้ามใช้จากกองเครื่องสำอางค์ในประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทย
ส่วนรกแกะ ยังคงอนุมัติให้ใช้ได้ เพราะการควบคุมคุณภาพจากฟาร์มเลี้ยงสัตว์ยังปลอดภัย กระนั้นก็ดีปัจจุบันมีการเกรงว่า ฮอร์โมน Estrogen ที่ติดมาจากรกสัตว์ อาจกระตุ้นให้เกิดฝ้า เมื่อใช้ต่อเนื่อง การหันเหมายังรกพืช จึงมากขึ้น งานวิจัยใหม่ๆ ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆจากรกพืช และ Stem Cell จากพืช จึงปล่อยเข้าสู่ตลาดเป็นนวัตกรรมใหม่ 
      รกพืช คือส่วนของหน่ออ่อน ซึ่งมีเซลล์ต้นกำเนิด ( Stem Cell ) อยู่ มีควมสามารถแยกตัวแล้วเจริญเติบโตเป็นเซลล์ใหม่  ดังนั้น คำว่ารกพืชและสเต็มเซลล์พืช ( เซลล์ต้นกำเนิดจาก พืช ) จึงมักจะใช้ปะปนกัน อันหมายถึงเซลล์ต้นกำเนิดนั่นเอง
     อะไรคือเซลล์ต้นกำเนิด หรือ สเต็มเซลล์ ( Stem Cell ) เป็นที่มีคุณสมบัติพิเศษ โดยมีคุณสมบัติ ดังนี้
          1.มีความสามารถในการสร้างเซลล์ขึ้นมาใหม่
          2.สามารถเพิ่มหรือสร้างเซลล์ที่ผิดแยกแตกต่างออกไป
     เซลล์ต้นกำเนิด ( Stem Cell ) ของคนมี 2 ชนิด ชนิดแรกมาจากตัวอ่อน ( Embryonic Stem Cell ) อีกชนิดมาจากผู้ใหญ่ ( Adult Stem Cell ) ชนิดหลัง นักวิทยาศาสตร์เริ่มหันมาสนใจ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาด้านจริยธรรม
     เซลล์ต้นกำเนิดจากพืช ( Plant Stem Cell ) พืชมีสเต็มเซลล์อาศัยอยู่ในส่วนของเนื้อเยื่อหน่ออ่อนหรือรากอ่อน ซึ่งจะเจริญเติบโตแบ่งเซลล์ไปเป็นส่วนของต้นไม้ทั้งต้น
     เซลล์ต้นกำเนิด ( Stem Cell ) ของคนมี 2 ชนิด ชนิดแรกมาจากตัวอ่อน ( Embryonic Stem Cell ) อีกชนิดมาจากผู้ใหญ่ ( Adult Stem Cell ) ชนิดหลัง นักวิทยาศาสตร์เริ่มหันมาสนใจ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาด้านจริยธรรม
     เซลล์ต้นกำเนิดจากพืช ( Plant Stem Cell ) พืชมีสเต็มเซลล์อาศัยอยู่ในส่วนของเนื้อเยื่อหน่ออ่อนหรือรากอ่อน ซึ่งจะเจริญเติบโตแบ่งเซลล์ไปเป็นส่วนของต้นไม้ทั้งต้น 
     การนำเทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อของต้นไม้มาใช้แพร่พันธุ์ของเซลล์ต้น กำเนิดพืช อาจใช้แพร่พันธุ์ต้นไม้ทั้งต้น หรือเฉพาะเซลล์เนื้อเยื่อบางส่วน การปฎิบัติการที่สามารถผลิตพืชได้โดยไม่ขึ้นกับฤดูกาลและสิ่งแวดล้อม  นักวิจัยได้นำเทคนิคดังกล่าวไปเพาะเนื้อเยื่อของแอปเปิ้ล (apple) พันธุ์คัดเลือกพิเศษ ชื่อ Uttwiler Spatlauber ซึ่งนำไปเพาะปลูกในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จากนั้นเพาะเนื้อเยื่อ ผ่านขบวนการหมักโดยใช้ชีวภาพสกัดจนได้ผลิตภัณฑ์นำมาใช้ชะลอความแก่ บนผิวหน้า และเส้นผม โดยสารสกัดนี้ใช้ความดันสูงในการสกัด แล้วผ่านกระบวนการหุ้มด้วย Liposome ได้สารที่เรียกว่า PhytoCellTec Malus Domestica จากงานวิจัยพบว่า
  1. สามารถทำให้เซลล์มนุษย์มีการแบ่งตัว และเติบโตได้ 80%
  2. ทำให้เซลล์ทนทานต่อรังสี UV อายุของเซลล์ยาวขึ้น (ดูได้จากเซลล์ที่ผ่านการทดลองด้วยแสง UV นำไปเพาะเลี้ยงจะรอดแค่ 50% แต่ถ้าใช้สารสกัดช่วยให้รอดเกือบหมด)
  3. มีประสิทธิภาพเปนสารต้านอนุมูลอิสระ สามารถป้องกันการทำลายเซลล์ จาก Hydrogen Peroxide ในการทดลองได้
  4. ชะลอการแก่ของเซลล์จากต่อมบนเส้นผมได้ ดังนั้นจึงสามารถชะลอผมร่วง ทำให้อายของเซลล์ผมยืนยาวขึ้น
  5. ถ้านำสารสกัดทำเป็นครีม โดยทาวันละ 2 ครั้ง ตามรอยตีนกา พบว่าสามารถทำให้ร่องตื้นขึ้น 8% ภายใน 2 สัปดาห์ หรือ 15% ภายใน 4 สัปดาห์
     ผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ มักจะรวมรกพืชหรือสเต็มเซลล์ กับสารสกัดอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องสำอางค์ให้ได้สูงสุด ในประเทศไทย ผลิตภัณฑ์ที่นำรกพืชมาเพาะเนื้อเยื่อให้ได้สเต็มเซลล์ มาช่วยสร้างเซลล์ผิวเพิ่มเติมพร้อมทั้งใส่สารสกัดต่างๆ ที่ช่วยด้านผิวหน้า รวมเข้าด้วย เช่น Botox จากพืช ทำให้ผู้ใช้มีการปรับผิวทำให้หน้าใส ดูอ่อนเยาว์ทันที 
สารสกัดที่คนเพิ่มเติมเข้าไป เพื่อให้ได้ผลประโยชน์สูงสุด ได้แก่
  • Palmitoyl pentapeptide – 3 ที่เรียกว่า Botox จากพืช เพื่อ
  1. กระตุ้นการสร้าง Collagen
  2. ซ่อมแซมเซลล์ผิว
  3. ลดรอยย่น ทำให้ริ้วรอยตื้นขึ้น
  4. ลดจุด ด่าง ดำ
  • มีการเพิ่ม Hyalusonic มาเป็นส่วนประกอบใน Plant Stem Cell เพื่อ
  1. ช่วยอุ้มน้ำ เพื่อความชุ่มชื่น ถึง 1,000 เท่าของน้ำหนัก
  2. ทำให้ผิวเรีบตึง ลดรอยลึก และร่องของผิว
  3. เป็นสารเริ่มต้นในการสร้าง Collagen
  4. ช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์
  • มีการเพิ่ม Glycine Soja ( Soy Bean ) Seed Extract เพื่อ
  1. เพื่อการสร้าง Collagen
  2. ลดริ้วรอยที่เป็นร่องลึก
  3. ทำให้ผิวตึงกระชับ
  • มีการเพิ่ม Vitamin C เพื่อ
  • ลดการสร้างเซลล์เม็ดสี ช่วยทำให้ใบหน้ากระจ่างใสขึ้น
  •  ทำให้ผิวตึงกระชับ
  • ช่วยลดการอักเสบของสิว


















วิธีการรับประทานกลูต้าให้ได้ผลดี

     การรับประทานกลูต้าไธโอนเพื่อให้ผิวขาวขึ้นนั้น  ขนาดที่รับประทานคือ 20-40 mg/kg/day แบ่งให้ 2-3 ครั้ง ตัวอย่างเช่น ถ้าคนหนัก 50 กิโลกรัม ถ้าจะทานเพื่อให้ผิวขาวจะต้องทานวันละ 1000-2000 mg. ซึ่งดูแล้วก็หนักเอาการไม่น้อยเลย กับการรัปประทานกลูต้าไธโอนเพื่อให้ผิวขาว เดือนๆนึงก็ตกหลายบาทอยู่เหมือนกัน  แต่เราก็มีวิธีที่จะประหยัดลงได้ก็คือ ให้รับประทานเพียงวันละ 10 mg/kg/day แล้วให้ทานสาร antioxidize อื่นๆคู่กันด้วย เช่น Vitamin C หรือ Vitamin E ซึ่งหากทานวิตามินซีคู่กับกลูต้าไธโอนจะต้องรับประทานเป็น 2 เท่าของกลูต้าไธโอน     ตัวอย่างเช่น..ถ้าคนหนัก 50 กิโลกรัม ถ้าจะทานกลูต้าไธโอนเพื่อให้ผิวขาวจะต้องทานวันละ 500 mg. คู่กับวิตามินซีวันละ 1000 mg. ซึ่งสาร antioxidize จะทำกลูต้าไธโอนที่อยู่ในร่างกายคงรูปร่างอยู่ในรูปที่ออกฤทธิ์ได้นานขึ้นค่ะ  นั่นก็หมายถึงประสิทธิภาพของกลูต้าไธโอนก็เพิ่มขึ้นไปด้วยนั่นเอง เมื่อประสิทธิภาพของกลูต้าไธโอนสูงขึ้นเราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องทานปริมาณเยอะๆอีกแล้ว (ดีใช่มะล่าา...)

ช่วงเวลารับประทานที่จะทำให้กลูต้าไธโอนถูกดูดซึมดีที่สุด ..
     ก็คือ "ตอนท้องว่าง" ค่ะ ซึ่งคนเราจะท้องว่างจริงๆก็คือ ตอนก่อนจะนอนและตอนตื่นนอนใหม่ๆ  แต่ถ้าหากไม่สะดวกช่วงเวลานี้ ก็ทานก่อนอาหารอย่างน้อย 30 นาทีได้ หากจะทานคู่กับวิตามินซีในตอนท้องว่าก็ได้ เพราะวิตามินซีก็ดูดซึมดีที่สุดตอนท้องว่างเหมือนกัน แต่วิตามินซีมีผลทำให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร แสบท้อง กัดกระเพาะนั่นเอง หากต้องทานเป็นเวลานานๆ หรือ หากเป็นโรคกระเพาะอาหารอยู่แล้ว หรือ เริ่มมีอาการดังกล่าวก็ให้เปลี่ยนมากินหลังอาหารแทนได้ เฉพาะวิตามินซี กลูต้าไธโอนก็ทานตอนท้องว่างเหมือนเดิม   สรุปก็คือการรับประทานกลูต้าไธโอนเพื่อให้ผิวขาวขึ้นให้รับประทานตอนท้องว่างวันละ 10 mg/kg/day ควบคู่กับรับประทานสาร antioxidize(วิตามินซี) 2 เท่าของกลูต้าไธโอนนั่นเอง

ข้อแนะนำในการทานกลูต้าไธโอน .
    เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดนั้น ควรจะรับประทานอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน อาจทานควบคู่กับสาร antioxidize อื่นด้วยก็ได้ นอกจากการทานอย่างต่อเนื่องแล้วเรื่องที่สำคัญอีกเรื่องที่หลายๆคนมองข้ามก็คือ เรื่องของการหลีกเลี่ยงแสงแดดนั่นเองใช่ไหม
มาทำความเข้าใจกันก่อนค่ะว่าการหลีกเลี่ยงแสงแดดนั้นมันสำคัญอย่างไร ?
     เราทานกลูต้าไธโอนก็เพื่อทำให้ผิวของเราขาวขึ้น ด้วยกระบวนการที่กลูต้าไธโอนไปยับยั้งการสร้างเม็ดสีนั่นเองค่ะ เมื่อเราทานต่อเนื่องเป็นเวลาสักระยะหนึ่งเม็ดสีตัวที่ทำให้ผิวมีสีคล้ำก็ ถูกสร้างน้อยลง ๆ ประกอบกับผิวเดิมของเราที่มีสีคล้ำก็ถึงเวลาผลัดเปลี่ยนออกมาเป็นขี้ไคล ผิวเราจึงค่อยๆขาวขึ้นนั่นเองค่ะ  ขอย้ำนะคะว่าค่อยๆขาวขึ้น ไม่ขาวขึ้นอย่างรวดเร็วทันตาเห็นใน 3 วัน 7 วัน ถึงแม้จะทานกลูต้าไธโอนวันละ 10 -20 เม็ด ก็ไม่ได้ช่วยให้ขาวเร็วขึ้นแน่นอน เป็นไปไม่ได้เลย เพราะกว่าผิวเดิมของเราที่มีสีคล้ำจะผลัดเปลี่ยนไปเป็นขี้ไคลก็ใช้เวลาหลาย สัปดาห์ โดยปกติ 28 วัน เร็วหรือช้ากว่านี้ก็แล้วแต่ลักษณะผิวของคน คนผิวแห้งจะผลัดเร็วกว่าคนผิวมันครับ เด็กจะผลัดเร็วกว่าคนแก่ ก็เหมือนกับกระดาษสีดำทับกระดาษสีขาว หากไม่เอากระดาษสีดำที่ทับอยู่ออก ก็จะไม่เห็นกระดาษสีขาว
     แสงแดดนี่เองค่ะเป็นตัวกระตุ้นให้ผิวเราสร้างเม็ดสี เพื่อป้องกันตัวเองจากแสงแดด ยิ่งโดนแสงแดดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งกระตุ้นให้ผิวสร้างเม็ดสีมากยิงขึ้น ผิวก็เลยคล้ำๆ หากเราทานกลูต้าไธโอนยับยั้งการสร้างเม็ดสี แต่เราไม่หลีกเลี่ยงแสงแดดที่กระตุ้นให้สร้างเม็ดสี ก็แทบจะไม่เห็นผล เหมือนกับนำช่างสร้างบ้านกับนำช่างรื้อถอนมาอยู่ด้วยกัน บ้านหลังนี้สร้างเป็น 10 ปีก็ไม่เสร็จ
     เพราะฉนั้นเพื่อให้ผิว ขาวขึ้น เราควรที่จะรับประทานกลูต้าไธโอนในปริมาณพอเหมาะ(ปริมาณที่อยูในระดับยับยั้งเม็ดสี)อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับหลีกเลี่ยงแสดแดด หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ให้ทาครีมกันแดดอยู่เป็นประจำ ซึ่งครีมกันแดดก็มีอยู่หลายชนิด แล้วแต่จะเลือกใช้ค่ะ.....(ขอจบแค่นี้นะคะ..จุ๊บจุ๊บ..)

19.3.11

โบทอกซ์ (BOTOX)

    BOTOX  เป็นโปรตีนบริสุทธิ์ ซึ่งสกัดได้จาก Botolinum Toxin type A ที่ฮอตฮิตติดอันดับหนึ่ง ของวงการความสวยความงามทั่วโลก นั่นเพราะโบท๊อกซ์ มีประสิทธิภาพในการคืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิวพรรณ โดย โบท๊อกซ์ จะออกฤทธิ์ ทำให้การทำงานของกล้ามเนื้อเล็กๆ ที่ก่อเกิดริ้วรอยย่นคลายตัว จึงมีการใช้สารโบท๊อกซ์ ฉีดลบริ้วรอยกันอย่างแพร่หลายกว่า 70 ประเทศทั่วโลกในเวลาต่อมา นอกจากนั้นโบท๊อกซ์ยังสามารถช่วยในการปรับแต่งแก้ไขข้อบกพร่องของใบหน้าส่วน ต่างๆ ของร่างกายให้ดูดีขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นรอยย่นบริเวณดั้งจมูก ปลายจมูกบาน หรือยกปลายจมูกให้ตั้งขึ้น ร่องแก้มลึก ริ้วรอบรอบริมฝีปาก รอยหยักรอยบุ๋มบริเวณคาง รอยย่นบริเวณคอ การปรับความค้งของคิ้วในรูปแบบต่างๆ การทำดวงตาให้ดูกลมโตขึ้น
     ส่วนเทคนิคใหม่ที่น่าสนใจของการใช้โบท๊อกซ์ ในขณะนี้คือการยกกระชับใบหน้าให้ตึงขึ้น (Microbotox for Lifting) วิธีนี้ให้ผลดีมาก โดยหลังจากฉีดหนึ่งสัปดาห์จะรู้สึกว่าใบหน้าตึงกระชับขึ้น ผิวที่หย่อนคล้อยดีขึ้น รูขุมขนดูเล็กลง นอกจากนี้ยังทำให้ใบหน้าไม่มันแลดูละเอียดขึ้นอีกด้วย


ปรับโครงหน้าเหลี่ยมให้เรียวสวยด้วยโบท๊อกซ์
     ผู้ที่มีโครงหน้าเหลี่ยมจะมีลักษณะกล้ามเนื้อบริเวณขากรรไกรที่ใหญ่กว่าปกติ กล้ามเนื้อชนิดนี้มีชื่อว่า “Masseter” มักพบในคนที่นอนกัดฟัน สบฟันไม่สนิท หรือเคี้ยวอาหารที่มีความเหนียวอย่างปลาหมึกหรือหมากฝรั่งมากๆ ก็เป็นสาเหตุทำให้กล้ามเนื้อบริเวณมุมกรามหรือขากรรไกรมีการพัฒนาให้หนานูน มากกว่าปกติ หรือบางรายอาจจะเป็นโดยกำเนิด เมื่อสังเกตบริเวณใบหน้าจะพบว่าคางเป็นเหลี่ยมอย่างชัดเจน หากลองกัดฟันจะเห็นลำของกล้ามเนื้อบริเวณขากรรไกรทั้งสองข้างชัดเจนกว่าปกติ การฉีดโบท๊อกซ์ ทำให้ใบหน้าเหลี่ยมดูเรียวเล็กลงได้โดยไม่ต้องเสี่ยงเหมือนการผ่าตัดกราม เพราะโบท๊อกซ์ จะออกฤทธิ์โดยการคลายกล้ามเนื้อและช่วยลดการทำงานของกล้ามเนื้อบริเวณขา กรรไกร ความหนานูนของกล้ามเนื้อบริเวณมุมกรามจึงลดลง ทำให้รูปหน้าดูเรียวเล็กลงได้ โบท๊อกซ์จะเริ่มออกฤทธิ์เต็มที่ช่วง 2-3 เดือน หลังจากการฉีด ซึ่งผลการรักษาแต่ละครั้งจะคงอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับแต่ละคน















 
































12.3.11

ความรู้เกี่ยวกับกลูต้าไธโอน (Glutathione)

บทความ ; ความรู้เกี่ยวกับอาหารเสริมผิวขาว (กลูต้าไธโอน)
       กลูตาไธโอน (Glutathione) เป็นยารักษาโรคเกี่ยวกับระบบประสาท ระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย ปกติแพทย์จะใช้ในปริมาณเพียง 200 มิลลิกรัมต่อครั้ง กลุ่มคลินิกเสริมความงามใช้เป็นสารผสมกับวิตามินซี ฉีดทำดีท็อกซ์ผิวขาว
กลูตาไธโอน เป็น tripeptides ของกรดอะมิโน 3 ตัว คือ ซิสทีน (cysteine), กรดกลูตามิค (glutamic acid) และไกลซีน (glycine) ซึ่งร่างกายสามารถผลิตได้เองตามธรรมชาติ และมีในอาหาร เช่น นม ไข่ ผลอะโวคาโด สตรอเบอร์รี มะเขือเทศ ผักบรอคโคลี ส้มเกรปฟรุต และผักโขม
กลูตาไธโอนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระจึงช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย ช่วยให้ตับขจัดสารพิษออกจากร่างกาย และยังนำมารักษาโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ข้ออักเสบ โรคพาร์กินสัน โรคตับ โรคไต โรคเอดส์ ภาวะเป็นหมันในเพศชาย

หน้าที่หลักของสารดังกล่าวข้างต้นที่เด่นมีอยู่ 3 ประการ คือ
    1. Detoxification : กลูต้าไทโอนช่วยสร้างเอ็นไซม์ชนิดต่าง ๆ ในร่างกายโดยเฉพาะ Glutathion-S-transferase ที่ช่วยในการกำจัดพิษออกจากร่างกายโดยไปเปลี่ยนสารพิษชนิดไม่ละลายในน้ำ (ละลายในน้ำมัน) เช่น พวกโลหะหนัก สารระเหย ยาฆ่าแมลง แม้แต่ยาบางชนิด ให้เป็นสารที่ละลายน้ำได้ดีขึ้นและง่ายต่อการกำจัดออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันตับ1 จากการถูกทำลายโดย แอลกอฮอล์ (สุรา) สารพิษจากบุหรี่ ยาพาราเซตามอลเกินขนาด (Overdose) ฯลฯ
    2. Antioxidant : กลูต้าไทโอนมีคุณสมบัติเป็นสารต้านปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่น (Antioxidant) ที่มีความสำคัญตัวหนึ่งในร่างกาย และหากขาดไป วิตามินซีและอี อาจจะทำงานได้ไม่เต็มที่
    3. Immune Enhancer : ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย2 โดยกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์หลายชนิดเพื่อให้ร่างกายต่อต้านสิ่งแปลกปลอม รวมถึงเชื้อแบคทีเรียและไวรัส นอกจากนี้กลูตาไทโอน ยังช่วยสร้างและซ่อมแซม DNA สร้างโปรตีนและ protaglandin
    โดยสรุปสารกลูตาไธโอน จึงเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายที่มีกำลังสูงเมื่อเปรียบเทียบกับ วิตามินซีหรือวิตามินอี เมื่ออายุคนเรามากขึ้นปริมาณกลูตาไธโอนในร่างกายจะลดน้อยลง มีผลทำให้เซลล์และอวัยวะทุกส่วนเสื่อมโทรมลง ในทางตรงกันข้าม นักวิจัยพบว่าผู้ที่มีอายุยืนยาวและมีสุขภาพแข็งแรง มักจะตรวจพบสารกลูตาไธโอนปริมาณสูงในกระแสเลือด นักวิจัยพบว่าผู้ที่มีอายุยืนยาวและมีสุขภาพแข็งแรงนั้น  มักจะตรวจพบว่ามีสารกลูตาไธโอนปริมาณสูงในกระแสเลือด


                             Glutathione